เมนู

น ภวิสฺสํ (เราจักไม่เป็น) ความถือตัวด้วยสัสสตทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วย
บทว่า รูปี ภวิสฺสํ ( เราจักมีรูป ) ความถือตัว ด้วยอุจเฉททิฏฐิ ท่าน
กล่าวด้วยบุคคลว่า อรูปี ภวิสฺสํ ( เราจักไม่มีรูป ) ความถือตัวด้วยสัสสต-
ทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า สญฺญี ภวิสฺสํ (เราจักมีสัญญา) ความถือ
ตัวด้วยอุจเฉททิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า อสญฺญี ภวิสฺสํ (เราจักไม่
มีสัญญา ) ความถือตัวด้วยทิฏฐิ ท่านกล่าวด้วยบทว่า เนวสญฺญินาสญฺญี
ภวิสฺสํ
(เราจักมีสัญญาก็หามิได้ ไม่มีสัญญาก็หามิได้) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความถือตัวเป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร. เพราะเหตุนั้นแล เธอ
ทั้งหลายจึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักมีใจกำจัดมานะออกได้อยู่ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
จบ เทวาสุรสังคามสูตรที่ 12
อาสีวิสวรรคที่ 4


อรรถกถาเทวาสุรสังคามสูตรที่ 121


บัดนี้เพื่อจะแสดงกิเลสที่ปรารถนาภพนั้น ของสัตว์เหล่านั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ภุตปุพฺพํ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ตตฺร โยค เทวสภายํ เป็นสัตว์มีวิภัตติ ( แปลว่า ใน
เทวสภา นั้น ). อธิบายว่า ใกล้ประตูเทวสภา ชื่อว่าสุธรรมา.
1. สูตรที่ 12 อรรถกถาแก้รวมไว้ในสูตรที่ 11 ในที่นี้แยกไว้ต่างหาก

ด้วยบทว่า ธมฺมิกา โข เทวา นี้ ท้าวเวปจิตติ ผู้เป็นอสุราธิบดี
กล่าวหมายเอาความเหล่านี้ ผู้ทรงธรรม ชื่อจับอสุราธิบดีผู้เช่นเรา ด้วย
เครื่องจองจำมีคอเป็นที่ 5 แล้ว แต่ไม่ทำแม้เพียงการทำลายเรา.
ด้วยบทว่า อธมฺมิกา เทวา ท้าวเวปจิตติ กล่าวหมายเอาด้วยเทพ
เหล่านี้ ผู้ไม่ทรงธรรม ซึ่งจับอสุราธิบดี ผู้เช่นเราแล้ว จองจำด้วยเครื่อง
จองจำ มีคอเป็นที่ 5 แล้วให้นอนอยู่ เหมือนผูกหมูไว้กับคูถใหม่ฉะนั้น.
บทว่า เอวํ สุขุมํ โข ภิกฺขเว เวปจิตฺติพนฺธนํ ความว่า
ดูเหมือนว่า เครื่องผูกนั้น เป็นเครื่องผูกที่ละเอียด เหมือนกันใยก้านปทุม
และเหมือนใยตาข่ายแมลงมุม แต่ใคร ๆ ไม่อาจตัดได้ด้วยมีดและขวานได้
แต่เพราะเหตุนี้มีการก่อกำเนิดขึ้นด้วยจิตนั่นเอง และจะหลุดพ้นก็ด้วยจิต
ฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า เครื่องผูกของอสูรชื่อเวปจิตติ.
บทว่า ตโต สุขุมตรํ มารพนฺธนํ ความว่า แต่เครื่องผูกคือกิเลสนี้
ละเอียดกว่าเครื่องผูกของท้าวเวปจิตติ นั้น คือ ไม่ไปสู่คลองแห่งจักษุ
(ไม่ผ่านเตา) ได้แก่ไม่ปิดกั้นอิริยาบถไว้ เนื่องด้วยสัตว์ทั้งหลายถูกเครื่อง
ผูกคือกิเลส ผูกมัดไว้ จะไปก็ได้ มาก็ได้ ในพื้นปฐพีบ้าง บนอากาศบ้าง
ไกล 100 โยชน์ก็มี 1000 โยชน์ก็มี เพราะเครื่องผูกนี้เมื่อจะขาด ก็ขาด
ด้วยญาณ ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นเครื่อง
ผูกที่จะหลุดพ้นไปได้ด้วยญาณบ้าง.
บทว่า มญฺญมาโน ความว่า สำคัญ (ยึดถือ) อยู่ซึ่งขันธ์ทั้งหลาย
ด้วยอำนาจ ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ.

บทว่า พนฺโธ มารสฺส ความว่า ด้วยเครื่องผูกของมาร.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มารสฺส นี้ เป็นฉัฏฐิวิภัตติ ใช้ในอรรถของตติยา-
วิภัตติ หมายความว่า ถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลสมาร.
บทว่า มุตฺโต ปาปิมโต ความว่า พ้นแล้วจากเครื่องผูกของมาร.
อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ปาปิมโต นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถ1 ของตติยาวิภัตติ
เหมือนกัน หมายความว่า หลุดพ้นแล้วจากมากผู้ลามก คือจากเครื่องผูก
คือกิเลสนั่นเอง.
ด้วยบทว่า อสฺมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความสำคัญด้วยอำนาจ
ตัณหา.
ด้วยบทว่า อยหมสฺมิ ตรัสความสำคัญ. ทิฏฐิด้วยอำนาจ สัสสต-
ทิฏฐิเหมือนกัน.
ด้วยบทว่า น ภวิสฺสนฺติ ตรัสไว้ด้วยอำนาจเฉททิฏฐิ.
บทว่า รูปี เป็นต้น บ่งถึงประเภทของสัสสตทิฏฐินั่นเอง2.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ความสำคัญที่เป็นความเจ็บป่วย
ชื่อว่าเป็นโรค เป็นทั้งฝี เป็นทั้งลูกศร เพราะอำนาจความใคร่ที่มีโทษะ
อยู่ภายใน
1. ปาฐะว่า กรเณเยว ฉบับพม่าเป็น กรณตฺเตเยว แปลตามฉบับพม่า
2. ปาฐะว่า สสฺสตวเสน ฉบับพม่าเป็น สสฺสตสฺเสว แปลตามฉบับพม่า.

คำว่า อิญฺชิตํ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดง
ถึงอาการของตัณหาและสัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิเหล่านั้น เพราะสัตว์
ทั้งหลายหวั่นไหว ดิ้นรน ชักช้า และถึงอาการประมาทแล้ว1 ด้วยกิเลส
เหล่านี้.
แต่ในมานคตวาระ มีอรรถาธิบายว่า การไปของมานะ ชื่อว่า
มานคตะ ได้แก่เป็นไป ด้วยมานะ2. มานคตะ3ก็คือมานะนั่นเอง เหมือน
( คำว่า ) คูถคตะ มุตฺตคตะ ( ก็เท่ากับคูถะมุตะ ).
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺมิ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ด้วยอำนาจมานะที่สัมปยุตด้วยตัณหา ( หมายถึงมานะ ประกอบกับตัณหา. )
บทว่า อหมสฺมิ ตรัสไว้ด้วยอำนาจทิฏฐิ (ทรงหมายถึงทิฏฐิ
อย่างเดียว ).
ถ้าจะมีคำถามว่า มานะ ชื่อว่าสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ไม่มี ไม่ใช่หรือ.
ตอบว่า เออ ไม่มี แต่เพราะยังละมานะไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าทิฏฐิ
จึงยังมีอยู่. คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายเอาทิฏฐิที่มีมานะเป็นมูล.
คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นดังนี้แล.
จบ อรรถกถาเทวาสุรสังคามสูตรที่ 12
จบ อาสีวิสวรรคที่ 4
จบ อรรถกถาสฬายตนสังยุตต์

1. ปาฐะว่า สมคฺคาการํปตฺตา ฉบับพม่าเป็น ปมตฺตาการปตฺตา แปลตามฉบับพม่า.
2. ปาฐะว่า มานํ ปวตฺตติ ฉบับพม่าเป็น มานปวตฺตติ แปลตามฉบับพม่า.
3. ปาฐะว่า คตํ ฉบับพม่าเป็น มานคตํ แปลตามฉบับพม่า.

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. อาสีวิสสูตร 2. รถสูตร 3. กุมมสูตร 4. ปฐมทารุขันธสูตร
5. ทททุติยทารุขันธสูตร 6. อวัสสุตสูตร 7. ทุกขธรรมสูตร 8. กึสุกสูตร
9. วีณาสูตร 10. ฉัปปาณสูตร 11. ยวกลาปิสูตร 12. เทวาสุรสัง-
คามสูตร.

รวมวรรคที่มีในจตุตถปัณณาสก์ คือ


1. นันทิขยวรรค 2. สัฏฐินยวรรค 3. สมุททวรรค 4. อาสี-
วีสวรรค.
จบ จตุตถปัณณาสก์
จบ สฬายตนสังยุต